HYBRID WORKING กับยุค NEW NORMAL

ในช่วง 1-2 ปี ที่ผ่านมา เราจะได้เห็นการปรับตัวและรูปแบบการทำงาน จากทางองค์กรหรือตัวพนักงานเอง เนื่องจากสถานะการณ์ COVID-19 นั้นส่งผลกระทบอย่างเป็นวงกว้างในหลายๆ ด้าน ที่เกี่ยวข้องกับการทำงานและการใช้ชีวิต จากเดิมที่ต้องทำงานแต่ที่ออฟฟิศ ก็ปรับเปลี่ยนให้ทำงานจากที่บ้าน หรือสถานที่อื่นๆ โดยไม่จำเป็นต้องเข้าออฟฟิศ จึงเกิดเทรนด์การทำงานแบบ HYBRID WORKING ขึ้นมา

HYBRID WORKING คืออะไร และอะไรที่เป็นปัจจัย ที่ทำให้เกิดเทรนด์การทำงานรูปแบบนี้ขึ้นมา วันนี้เรามีคำตอบมาให้คุณครับ

“ HYBRID WORKING ” คือ รูปแบบการทำงาน ที่ตัวพนักงานสามารถเลือกที่ทำงาน ได้อย่างมีอิสระ ไม่ว่าจะเป็นทำงานจากที่บ้าน หรือตามสถานที่อื่นๆ แทนการทำงานที่ออฟฟิศแห่งเดียว เมื่อตัวพนักงานมีอิสระในการทำงานมากขึ้น ก็ส่งผลให้งานออกมามีประสิทธิภาพ และทำให้เกิดผลผลิตที่สูงขึ้น ภายใต้นโยบายการทำงานแบบ Flexible Working Policy

ปัจจัยรอบด้านที่ทำให้เกิด “Hybrid Working” ขึ้นมา และได้รับความนิยมมากขึ้นในปัจจุบัน อย่างแรกก็คือ การปรับตัวของบริษัทชั้นนำของต่างประเทศ ที่มีการปรับรูปแบบการทำงาน อย่างเช่น Google หรือ Facebook ที่เริ่มปรับตัวเป็น Hybrid Working ซึ่งเป็นตัวอย่างให้องค์กรต่างๆ เริ่มมีการปรับตัวตามมากขึ้น ปัจจัยต่อมาก็เกิดจากการที่มีการแพร่ระบาดของ COVID-19 ทำให้องค์กรต่างๆ ต้องปรับเป็นการทำงานจากที่บ้าน หรือสลับกันเข้ามาที่ออฟฟิศ เพื่อไม่ให้เกิดความแออัด ป้องกันความเสี่ยงของการแพร่กระจายโรค ปัจจัยสุดท้ายก็คือตัวพนักงาน ที่ถูกปรับรูปแบบการทำงาน แต่ยังคงคุณภาพและประสิทธิภาพไว้ได้อย่างดี หรืออาจจะเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากการมีอิสระในการทำงาน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องอยู่ภายใต้นโยบาย Flexible Working Policy ด้วย

ประโยชน์ของรูปแบบการทำงาน “Hybrid Working” มีอยู่ค่อนข้างหลากหลาย เช่น 

  • พนักงานมีอิสระกับการทำงานมากขึ้น จะช่วยดึงศักยภาพและประสิทธิภาพ ในการทำงานให้เพิ่มมากขึ้นด้วย
  • ดึงดูดคนรุ่นใหม่ๆ ที่มากความสามารถให้อยากร่วมงานกับองค์กรมากขึ้น เนื่องจากพฤติกรรมการทำงานของคนรุ่นใหม่ จะค่อนข้างชอบความอิสระ ชอบใช้เทคโนโลยีและความทันสมัย เป็นตัวช่วยในการทำงาน
  • องค์กรเปลี่ยนแปลงเป็นรูปแบบ Flexible Workplace มากขึ้น ส่งเสริมการทำงานในรูปแบบ Hybrid ส่งผลให้การทำงานของพนักงานดียิ่งขึ้น
  • Hybrid Working ช่วยป้องกันการแพร่กระจายของ COVID-19 และยังทำให้องค์กรดำเนินธุรกิจต่อไปได้ในช่วงที่มีโรคระบาด
  • ลดค่าใช้จ่ายลงได้ จากการทำงานแบบ Hybrid ทั้งค่าใช้จ่ายขององค์กร หรือค่าใช้จ่ายของพนักงานเองก็ตาม

ในบริษัทชั้นนำ จะให้อิสระกับพนักงานในการเลือก ที่จะเข้ามาทำงานที่ออฟฟิศเมื่อไหร่ก็ได้ และตัวองค์กรก็สามารถ ปรับลดพื้นที่โต๊ะทำงาน เป็นโต๊ะส่วนกลางแทน เป็นการช่วยลดพื้นที่ที่ไม่ได้ใช้เปลี่ยนไปทำอย่างอื่นได้ โดยพนักงานที่จะเข้ามาทำงานที่ออฟฟิศ ก็สามารถใช้โต๊ะส่วนกลางได้ด้วย ซึ่งออฟฟิศชั้นนำในประเทศไทย ก็เริ่มมีการปรับพื้นที่ทำงานเป็นในรูปแบบ Co-Working Space มากขึ้น เช่น Google, Wongnai และออฟฟิศอื่นๆ อีกมากมาย

หากองค์กรเริ่มปรับตัวเป็น “Hybrid Working” ก็ควรกำหนดนโยบาย Flexible Working Policy ไว้อย่างชัดเจน เพื่อให้พนักงานได้เข้าใจและปฏิบัติตาม เพื่อให้ยังคงการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพไว้ แม้ไม่ได้เข้ามาทำงานที่ออฟฟิศ รวมถึงการติดต่อประสานงานต่างๆ ด้วย การกำหนดนโยบายจะช่วยให้ ระบบการทำงานต่างๆ ยังคงดำเนินต่อไปได้อย่างไม่มีติดขัด หากต้องทำงานรูปแบบ Hybrid ในระยะยาว ก็สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้

“ ปัจจัยหลัก & ตัวเร่ง ” ที่ทำให้เกิดการปรับตัว ในองค์กรต่างๆ มากขึ้นในปัจจุบันนั้น ก็คือการแพร่ระบาดของ COVID-19 ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่กระทันหัน และบริษัทต่างๆ ยังคงต้องดำเนินธุรกิจให้ไปต่อ เหตุการณ์นี้จึงเป็นตัวกระตุ้น ให้องค์กรต้องหันมาปรับเปลี่ยนการทำงานใหม่ โดยเริ่มจากการทำที่บ้าน ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดค่อนข้างสูง และปรับเปลี่ยนเป็นการผสมผสานข้อดี ของการทำงานจากที่บ้าน และการเข้ามาทำงานที่ออฟฟิศเข้าด้วยกัน จึงเกิดเป็นการทำงานแบบ Hybrid Working Model นั่นเองครับ