Blog

วิธีกำจัดเชื้อราบนผนังบ้านด้วยตัวเอง

หลายๆ บ้านอาจจะเคยประสบปัญหาเชื้อราขึ้นตามผนัง ซึ่งเป็นหนึ่งปัญหาที่ต้องรีบจัดการในทันที ห้ามปล่อยไว้เป็นเวลานานเด็ดขาด เนื่องจากว่าเชื้อราเหล่านี้จะกลายเป็นแหล่งแพร่เชื้อโรคชั้นดีครับ ซึ่งอาจส่งผลกระทบกับร่างกายของผู้อยู่อาศัยได้ เช่น ก่อให้เกิดโรคภูมิแพ้ หอบหืด ไอจาม หรือเกิดการระคายเคือง ฉะนั้นแล้วเราควรที่จะขจัดปัญหาเชื้อราให้หมดไป ซึ่งสามารถทำง่ายๆ ได้ด้วยตัวเอง ใครที่กำลังพบเจอปัญหาเชื้อราอยู่ ก็ลองทำตามวิธีต่อไปนี้ได้เลยครับ

“แปรงสีฟัน” หากเชื้อราที่พบไม่ได้เยอะมากและเป็นเพียงแค่จุดเล็ก ๆ ก็ไม่ควรละเลยเด็ดขาด เพราะหากปล่อยไว้อาจขึ้นเพิ่ม และกระจายเป็นวงกว้าง ทำให้จัดการได้ยากขึ้น หากเชื้อรายังมีปริมาณที่ไม่มากนัก และเป็นจุดเล็กๆ เราก็หาแปรงสีฟันที่ไม่ใช้แล้วแบบแห้งมาถูบริเวณที่พบเชื้อรา เมื่อถูออกหมดแล้วให้เช็ดผนังอีกครั้งด้วยแอลกอฮอล์ เพื่อทำการฆ่าเชื้อและยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อรา

“น้ำยาฟอกขาว” หากพบเชื้อราที่มีขนาดใหญ่ขึ้นมากกว่าแบบที่หนึ่ง โดยมีขนาดประมาณฝ่ามือ การใช้แปรงสีฟันกำจัดคงใช้เวลานาน และประสิทธิภาพไม่มากพอ ซึ่งอีกหนึ่งวิธีที่แนะนำก็คือการใช้น้ำยาฟอกขาว ถ้าบ้านไหนไม่มีก็ใช้ผงซักฟอกทดแทนได้ โดยผสมกับน้ำและกรอกใส่ขวดแบบสเปรย์ จากนั้นฉีดพ่นไปที่บริเวณผนังที่พบเชื้อรา จากนั้นก็ใช้แปรงขัดออก น้ำยาฟอกขาวหรือผงซักฟอกจะช่วยให้ขัดเชื้อราออกง่ายขึ้น หลังจากนั้นก็ให้ล้างด้วยน้ำสะอาด

“ แอลกอฮอล์ ” หากพบเชื้อราขึ้นบนผนัง แต่มีจำนวนและขนาดน้อยมาก ๆ ให้ใช้แอลกอฮอล์ฉีดพ่นหรือราดบริเวณผนังที่พบปัญหาเชื้อรา แต่วิธีนี้จะต้องทำด้วยความระมัดระวัง เนื่องจากแอลกอฮอล์เป็นสารเคมี อาจทำให้เกิดการระคายเคืองกับผิวได้ ควรใส่อุปกรณ์ป้องกันตัวเอง เช่น หน้ากากอนามัย ถุงมือ และเปิดประตู-หน้าต่างเพื่อให้อากาศถ่ายเทได้ง่าย

“ทาสีใหม่” หากบ้านไหนที่พบปัญหาเชื้อราที่เยอะมาก จนทำให้ผนังบ้านไม่น่ามอง อาจจะต้องใช้วิธีการทาสีใหม่ทับ โดยก่อนที่จะทำการทาสีใหม่ จะต้องทำความสะอาดผนังเก่าให้เรียบร้อยก่อน โดยการใช้แปรงขัดและเช็ดด้วยแอลกอฮอล์ แล้วจึงเริ่มทาสีใหม่ทับสีเดิม เมื่อทาสีใหม่ควรเลือกสีที่มีคุณภาพ และประสิทธิภาพในการป้องกันและยับยั้งเชื้อราด้วย

ที่อยู่อาศัยบนทำเลคุณภาพ Luxury Townhome “VERITZ สาธุประดิษฐ์ 34”

เมื่อถึงจุดๆ หนึ่งของชีวิตครอบครัว การขยับขยาย หรือการเลือกซื้อที่อยู่อาศัย ก็จะเข้ามามีบทบาทกับชีวิตมากขึ้น เพราะการจะเลือกซื้อบ้านสักหลังหนึ่งนั้น ต้องมีการคำนึงถึงปัจจัยต่างๆ อย่างรอบด้าน และละเอียดถีถ้วน ไม่ว่าจะเป็นความเหมาะสมของสเปซกับขนาดครอบครัว ทำเลที่สะดวกเรื่องการเดินทาง สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ต้องตอบโจทย์กับการใช้ชีวิตของครอบครัวด้วย

โดยโครงการ VERITZ สาธุประดิษฐ์ 34 สามารถตอบโจทย์สิ่งเหล่านี้ได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของพื้นที่ใช้สอย ที่ให้ได้มากถึง 400 ตร.ม. รองรับการขยับขยายครอบครัวได้เป็นอย่างดี ตั้งอยู่บนทำเลคุณภาพ รายล้อมไปด้วยห้างสรรพสินค้า คอมมูนิตี้มอลล์ สถานศึกษาชั้นนำ และโรงพยาบาล และยังเดินทางสะดวกสบาย ใกล้จุดขึ้นลงทางด่วน เชื่อมต่อรถไฟฟ้า BTS ถ้าหากคุณกำลังมองหาที่อยู่อาศัยที่ตอบโจทย์ชีวิตอย่างรอบด้าน โครงการ VERITZ สาธุประดิษฐ์ 34 จะเป็นที่อยู่อาศัยที่ตอบโจทย์คุณภาพชีวิตคุณครับ

“ทำเลแห่งการศึกษา” ต้องบอกว่าการมีที่อยู่อาศัย ในทำเลสาธุประดิษฐ์ – พระราม 3 นั้น พ่อแม่ ผู้ปกครอง สบายใจเรื่องการศึกษาของน้องๆ หนูๆ ไปได้เลย เนื่องจากว่าทำเลนี้ มีสถานศึกษาชั้นนำกระจายตัวอยู่มากมายหลายแห่ง รองรับตั้งแต่เด็กเล็กจนถึงเด็กโต ทำให้เด็กๆ ไม่ต้องเดินทางไปเรียนหนังสือไกลบ้าน หรือผู้ปกครองเองก็ไปรับไปส่งได้สะดวกด้วย ซึ่งสถานศึกษาเหล่านี้ก็จะมี รร.พระแม่มารี สาธุประดิษฐ์, รร.นานาชาติ คิงส์คอลเลจ, รร.นานาชาติ สาทรใหม่, รร.กรุงเทพคริสเตียน, รร.สารสาสน์พิทยา, รร.สารสาสน์เอกตรา, รร.นานาชาติเรนทรี, รร.นานาชาติ โชรส์เบอรี่

“ทำเลติดโซน CBD” การที่จะมีที่อยู่อาศัยในโซน CBD เลยนั้น อาจจะไม่ตอบโจทย์กับหลายๆ คนสักเท่าไหร่ เนื่องจากมีข้อจำกัดเรื่อง ราคาที่ค่อนข้างสูง พื้นที่ใช้สอยที่จำกัด รูปแบบส่วนใหญ่เป็นคอนโดมิเนียม หากต้องการขยับขยายในอนาคตจึงเป็นไปได้ยาก

ซึ่งถ้าหากเลือกขยับออกมาในทำเลใกล้ๆ กัน โดยมีงบประมาณเท่ากัน ก็อาจจะได้ทาวน์โฮม 3-4 ชั้น พร้อมพื้นที่ใช้สอยที่มากขึ้น อย่างโครงการ VERITZ สาธุประดิษฐ์ 34 ก็มีพื้นที่ใช้สอยมาให้มากถึง 400 ตร.ม. รองรับการขยับขยายของครอบครัวในอนาคต นอกจากนี้พื้นที่โซนนี้ การจราจรไม่แออัดมากนัก ทำให้การเดินทางไปยังพื้นที่ต่างๆ ค่อนข้างสะดวกสบาย หรือเดินทางเข้าสู่โซน CBD เพื่อไปทำงาน หรือติดต่อธุรกิจ ก็เดินทางได้ง่ายเพียงไม่กี่นาทีเท่านั้นครับ

“ทำเลสิ่งอำนวยความสะดวกรอบด้าน” เนื่องจากทำเลสาธุประดิษฐ์ – พระราม 3 ในปัจจุบันยังยังคงมีพื้นที่เหลือให้พัฒนาต่ออีกมาก ทำให้อนาคตอาจเติบโตได้มากกว่านี้ ซึ่งก็มีหลายๆ โปรเจคได้วางแผนก่อสร้างไว้ล่วงหน้าบ้างแล้ว บางโปรเจคก็ต่อยอดจากเดิมที่มีอยู่ เพื่อให้เข้ากับยุคสมัย และขยับขยายเพื่อรองรับผู้คนที่จะเข้ามาอยู่อาศัยในทำเลนี้มากขึ้น โดยทำเลนี้เป็นทำเลที่ถือว่ามีสิ่งอำนวยความสะดวกที่รอบด้านมากๆ ไม่ว่าจะเป็นห้างสรรพสินค้า คอมมูนิตี้มอลล์ สถานศึกษา โรงพยาบาล ทางด่วน รถไฟฟ้าบีทีเอส ซึ่งทั้งหมดนี้ต่างเป็นปัจจัยในการดำเนินชีวิตทั้งนั้น ถ้าหากกำลังมองหาทำเลที่จะเป็นที่อยู่อาศัยระยะยาว ทำเล “ สาธุประดิษฐ์ – พระราม 3 “ เป็นหนึ่งในทำเลที่ตอบโจทย์มากๆ เลยครับ

—————————————————————– 

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร.: 092-321-7888 

LINE ID : @astinestate หรือ https://lin.ee/GpnJh3J 

www.astinestate.com 

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด

ตกแต่งบ้านไปกับ “7 เทรนด์สี…ในปี 2022”

ประกาศออกมาแล้วสำหรับ สีประจำปี 2022 นี้ นั่นก็คือ “ VERY PERI ” สีม่วงที่ให้ความรู้สึกถึงความกล้าหาญ สร้างสรรค์ และการเปลี่ยนแปลง ซึ่งเป็นนิยามของสีประจำปีใหม่นี้ เนื่องจากสถานการณ์ต่างๆ ที่ยังไม่แน่นอน ทำให้ปี 2022 นั้น จำเป็นต้องดึงเรื่องของสีสัน เข้ามาเป็นปัจจัยในการที่จะสร้างแรงบันดาลใจ และเพื่อเยียวยาและยึดเหนี่ยวจิตใจ จากเรื่องต่างๆ ในปีที่ผ่านมา เพื่อช่วยผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในสิ่งต่างๆ อีกด้วย

นอกจากสีม่วง VERY PERI แล้ว เทรนด์สีของปี 2022 ยังมีสีอื่นๆ อีกถึง 7 สี ที่มุ่งเน้นไปที่ความรู้สึกสนุกสนาน ผ่อนคลาย แต่ยังคงแอบแฝงความเข้มแข็งเอาไว้ วันนี้เราเลยจะมาอัพเดตเทรนด์สี และการใช้สีต่างๆ ในการตกแต่งบ้านกัน จะมีสีไหนถูกใจบ้าง วันนี้เรามีตัวอย่างของสีทั้ง 7 มาฝากกันครับ

“ Purple Rose ”  สีม่วง สีที่ช่วยลดความตึงเครียดทางด้านอารมณ์ของเราได้ดี ในขณะเดียวกันก็ช่วยสร้างความแข็งแกร่งของจิตใจด้วย และยังเป็นสีที่มีพลังขับเคลื่อนในทุกๆ เรื่องอีกด้วย ซึ่งหากใช้ตกแต่งบ้านอาจจะเลือกเป็นสีของสิ่งของตกแต่งบ้าน มาวางตามจุดต่างๆ หรือเป็นสีของหมอนอิง เพื่อมาช่วยลดความตึงเครียดของบรรยากาศและอารมณ์ความรู้สึก แต่ถ้าหากใช้เป็นสีของผนังอาจจะต้องระวังในเรื่องของห้องที่จะทึบตามมา อาจจะทำให้รู้สึกอึดอัดได้หากใช้มากไป

“ Radiant Yellow ”  สีเหลืองแกมส้ม สีที่ก่อให้เกิดพลังในใจ เติมเต็มสภาวะห่อเหี่ยวหรือหมดไฟได้ดี เป็นสีที่ช่วยสร้างความมั่นใจ และเป็นตัวแทนของการมองโลกในแง่บวก ซึ่งสีนี้หากเรามาใช้ในการตกแต่งบ้าน ควรใช้กับห้องที่ใช้พักผ่อนจะค่อนข้างเหมาะสม เช่น ห้องนั่งเล่น หรือห้องโฮมเธียเตอร์ เพราะเราใช้เวลากับพื้นที่เหล่านี้ในการพักผ่อน เติมความสนุกสนาน ความบันเทิงให้กับการใช้ชีวิตอยู่แล้ว จึงเหมาะมากกับการใช้สีเหลือแกมส้มนี้ครับ

“ Stratosphere ”  สีฟ้า เฉดสีที่สามารถสื่อถึงจิตวิญญาณของธรรมชาติ โดยสีนี้ถูกนิยามให้เป็นสีที่สะท้อนปัญหาต่างๆ และการเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติที่ได้รับผลกระทบจากสิ่งแวดล้อม ซึ่งสีนี้เป็นสีที่เป็นรอยต่อระหว่างน้ำทะเลและท้องฟ้า โดยส่งผลต่ออารมณ์ที่ทำให้รู้สึกเห็นอกเห็นใจ สีเฉดนี้เป็นสีที่เหมาะกับบ้านที่อยากได้ความเป็น Minimal เรียบง่าย สามารถใช้เป็นสีของผนังบ้านได้ โดยตัวสีเฉด Stratosphere นั้น ให้ความสว่างกับตัวบ้านภายในได้ เนื่องจากเป็นสีโทนสว่างครับ

“ Anise Flower ”  สีเหลืองดอกโป๊ยกั๊ก หรือสีครีม เป็นสีที่เป็นตัวแทนการปลอบประโลม และการบรรเทาจิตใจผู้คน ถ้าหากเลือกเฉดสีนี้เป็นหนึ่งในโทนของแต่งบ้าน ก็จะทำให้ผู้ใช้งานรู้สึกผ่อนคลาย ซึ่งเราก็จะเห็นเฉดสีนี้ได้บ่อยๆ ในของตกแต่งหลายประเภท  อย่างเช่นเทียนหอม ที่เป็นสินค้ามาแรงตลอดปี 2021 หรือแจกัน ถ้วยชาม และของอีกมากมาย ซึ่งสีโทนนี้ถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายกับสไตล์การแต่งบ้านแบบ Minimal

“ Java ”  สีน้ำตาลเข้ม ตัวแทนสีของธรรมชาติ เป็นโทนสีที่ใช้กันมาอย่างนาวนาน โดยสีเฉดนี้คือสีของเมล็ดพืช เมล็ดกาแฟ ให้ความรู้สึกเรียบหรู คงความคลาสสิคเอาไว้ เหมาะสมกับการออกแบบ หรือตกแต่งบ้านที่ใช้อยู่อาศัยในระยะยาว เพราะเป็นสีที่มีความยั่งยืน เปรียบกับธรรมชาติที่อยู่อย่างคงทน นอกจากนี้โทนสี Java ยังช่วยสร้างความรู้สึกความอบอุ่นให้กับจิตใจผู้คนด้วย

“ Acid Lime ”  สีเขียวสะท้อนเแสง ความแปลกใหม่ในยุคปัจจุบัน โดยเป็นเฉดสีที่แทนความคิดสร้างสรรค์ ที่หลอมรวมระหว่างความเก่าและใหม่เข้าด้วยกัน  ความนิยมของสีเขียวสะท้อนแสงนี้มีเทรนด์นิยมขึ้นเรื่อยๆ ทั้งในวงการสถาปนิก บริษัทแฟชั่น แม้จะเป็นโทนสีที่ผู้ใช้อาจรู้สึกถึงความย้อนแย้งในใจ แต่ก็เป็นสีที่ดึงดูดสายตาได้ดี ดังนั้นสีนี้จึงเป็นสีที่บอกถึงความรู้สึก “คาดไม่ถึง” ซึ่งหากนำมาตกแต่งบ้าน ก็คงจะเหมาะกับคนที่ต้องการเติมสีสันให้กับตัวบ้าน เช่นการเลือกเฟอร์นิเจอร์โทนสีนี้ หรือของประดับตกแต่งที่มีเฉดนี้แทรกอยู่ เพื่อเพิ่มความรู้สึกสนุกสนานให้กับตัวบ้านครับ

“ Festival Fuchsia ”  สีชมพูอมม่วง สีที่แสดงพลังขับเคลื่อน และสร้างความรู้สึกเชิงบวกให้ตนเอง เพื่อปลดปล่อยภาพลักษณ์ใหม่ๆ ที่ไม่เคยมีมาก่อน มีความเข้มข้น สมจริง ใช้กับงานออกแบบได้หลากหลาย โดยแทบจะไม่มีเงื่อนไขใดๆ เป็นสีที่สร้างความรู้สึกเชิงบวกได้ดีมากๆ อีกสีหนึ่ง และให้ความรู้สึกพิเศษในหลายๆ ความรู้สึก เช่นความเย้ายวนใจ ซึ่งการตกแต่งบ้านในเฉดสีนี้อาจเกิดจากความชอบ เพราะยังเป็นสีที่คนไม่นิยมนำมาใช้ตกแต่งบ้านมากนัก แต่เราก็จะพบเห็นสีนี้ถูกนำมาใช้ กับเฟอร์นิเจอร์หลากหลายประเภท  เพราะมีความจัดจ้านของสี จะช่วยให้บ้านนั้นดูมีชีวิตชีวามากขึ้นครับ

แต่งบ้านต้อนรับเทศกาล “Christmas x Happy New Year”

? หนึ่งในช่วงเวลาดีๆ ที่เป็นเทศกาลแห่งความสุข ก็คงต้องเป็นช่วงวันคริสต์มาสตลอดจนถึงช่วงวันขึ้นปีใหม่ ?

โดยจะเห็นได้จากการที่สถานที่ต่างๆ นั้น เริ่มมีการตกแต่งต้นคริสต์มาส ตกแต่งสถานที่ให้เข้ากับช่วงเทศกาล เดินทางไปไหนก็จะเห็นของตกแต่งสีเขียวตัดกับสีแดงอยู่เป็นระยะ ถือเป็นการสร้างบรรยากาศที่ดีที่ทำให้เราได้รู้สึกว่าเทศกาลดีๆ กำลังจะมาถึง หลายๆ ครอบครัวก็เริ่มมีการตกแต่งบ้าน ด้วยของตกแต่งที่เกี่ยวกับวันคริสต์มาสและวันขึ้นปีใหม่ เพื่อสร้างสรรค์บรรยากาศดีๆ ให้เกิดขึ้นภายในครอบครัวอีกด้วย 

วันนี้เราก็มีไอเดียที่จะช่วยสร้างสรรค์บรรยากาศดีๆ ภายในบ้าน ด้วยการตกแต่งบ้านต้อนรับเทศกาลวันคริสต์มาส และวันขึ้นปีใหม่มาฝากกันครับ

เริ่มจากการ “ ตกแต่งบริเวณบ้าน ” หากครอบครัวไหนที่มีพื้นที่บริเวณรอบบ้าน การตกแต่งภายนอกให้เข้ากับเทศกาล ก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจครับ เพราะนอกจากจะช่วยให้ตัวบ้านดูสวยงามขึ้นแล้ว ยังช่วยเพิ่มบรรยากาศของความสนุกสนานของเทศกาลมากขึ้นด้วย โดยไอเดียที่จะพบเห็นได้บ่อยๆ กับการตกแต่งภายนอกก็คือ การตกแต่งบริเวณประตูทางเข้าบ้าน ก็จะมีการนำต้นไม้ พวงมาลัยคริสต์มาส ไฟตกแต่งที่เป็นเส้นสาย มาประดับตามขอบประตู หรือใช้ของประดับชิ้นเล็กๆ มาติดประดับไว้ที่ประตู เพิ่มความสวยงามครับ 

และจะขาดไปไม่ได้เลยกับการประดับบ้านด้วย “ มุมต้นคริสต์มาส ” ถือเป็นไอคอนของเทศกาลเลยก็ว่าได้ เพราะนอกจากจะเป็นสัญลักษณ์ของวันคริสต์มาสแล้ว ต้นคริสต์มาสยังให้ความรู้สึกของเทศกาลส่งท้ายปีได้ดีเลย หลายๆ บ้านก็จะมีการประดับบ้านด้วยต้นคริสต์มาส ตกแต่งเพิ่มความสวยงามด้วยไฟและของประดับต่างๆ หากพื้นที่จำกัดก็สามารถใช้เป็นของตกแต่งผนังที่เป็นต้นคริสต์มาสแทน ช่วยเปลี่ยนอารมณ์จากบ้านเดิมๆ ให้ดูมีความสนุก ดูไม่ซ้ำจำเจมากขึ้นด้วย

ไอเดียที่เหมาะกับบ้านที่มีพื้นที่จำกัดก็คือการ “ สร้างสรรค์มุมต่างๆ ด้วยของตกแต่ง ” เพราะว่าของตกแต่งที่เกี่ยวกับเทศกาลคริสต์มาส และวันขึ้นปีใหม่นั้น มีให้ได้เลือกใช้ประดับตกแต่งมากมาย ใช้งานและเก็บออกได้ง่าย เช่น ริบบิ้นสีต่างๆ ของประดับผนัง กระดิ่ง กล่องของขวัญ ถุงเท้า ตุ๊กตา พวงมาลัยคริสต์มาส ซึ่งของประดับเหล่านี้จะช่วยเพิ่มสีสันและความสวยงามให้กับบ้านได้ และยังช่วยเพิ่มบรรยากาศภายในบ้านให้มีความสนุกสนานกับเทศกาลมากขึ้นด้วยครับ

อีกหนึ่งสิ่งที่หลายๆ ครอบครัวมักได้ทำร่วมกันในช่วงเทศกาลก็คือ การรับประทานอาหารพร้อมกันทั้งครอบครัว ซึ่งไอเดีย “ จัดโต๊ะรับประทานอาหาร “ ก็เป็นไอเดียหนึ่งที่น่าสนใจในช่วงเทศกาลคริสต์มาสและวันขึ้นปีใหม่นี้ครับ โดยเราแค่ใช้ของประดับโต๊ะทานอาหารเล็กๆ น้อยๆ อย่างเช่น สีผ้าปูโต๊ะที่เข้ากับเทศกาล ของตกแต่งชิ้นเล็กๆ ที่สามารถวางบนโต๊ะอาหารได้ เท่านี้ก็จะเปลี่ยนมื้ออาหารธรรมดาให้เป็นมื้อพิเศษตลอดช่วงเทศกาลได้

อีกหนึ่งไอเดียที่จะช่วยปรับเปลี่ยนบ้านให้เข้ากับเทศกาลก็คือ “ ตกแต่งราวบันไดและผนัง ” เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่จะช่วยเพิ่มบรรยากาศดีๆ ให้กับบ้าน ปรับเปลี่ยนบ้านเดิมๆ ให้มีสีสัน ความสนุกสนานให้มากขึ้น ซึ่งไอเดียนี้ก็ค่อนข้างง่าย เพราะใช้ของตกแต่งที่จัดเก็บได้ง่าย ตกแต่งตามทางเดิน ผนังของบ้าน ตกแต่งตามราวบันได เท่านี้ก็จะได้สีสันเพิ่มเข้ามาให้กับตัวบ้านแล้วครับ

นอกจากการตกแต่งบ้านให้เหมาะกับเทศกาลส่งท้ายปีแบบนี้ เราก็จะปิดท้ายเทศกาลวันคริสต์มาสและวันขึ้นปีใหม่ ด้วยการทำกิจกรรมร่วมกันทั้งครอบครัว ซึ่งแต่ละครอบครัวก็คงจะมีกิจกรรมดีๆ ไว้สำหรับทำร่วมกัน เช่น รับประทานอาหารร่วมกัน จับของขวัญ หรือกิจกรรมอื่นๆ อีกมากมาย และนี่ก็ถือเป็นอีกหนึ่งในการส่งมอบความสุขต่อกันในช่วงเวลาส่งท้ายปี และยังเป็นการสานความสัมพันธ์ของคนหลายเจเนอเรชั่นให้เข้าถึงกันมากขึ้นด้วยครับ

เคล็ดลับ…จัดการกลิ่นไม่พึงประสงค์ “ในห้องครัว”

พื้นที่ที่ถูกใช้งานอยู่ทุกๆ วัน ภายในบ้านหรือคอนโด นั่นก็คือพื้นที่ห้องครัว เพราะเราใช้ทำอาหารกันอยู่ในทุกวัน ต้องมีบ้างที่กลิ่นไม่พึงประสงค์จะเล็ดลอดไปในส่วนของห้องต่างๆ หรืออาจจะทิ้งคราบทิ้งกลิ่นให้ติดอยู่ในพื้นที่ทำอาหาร กลิ่นและคราบต่างๆ ก็จะมีการสะสม หากไม่ได้ทำความสะอาด แต่ปัญหาเหล่านั้นสามารถแก้ไขได้ด้วยวิธีง่ายๆ วันนี้เรามีวิธีการดูแลรักษาความสะอาด และกำจัดกลิ่นไม่พึงประสงค์ในห้องครัวมาฝากกันครับ

หลังจากเราใช้งานห้องครัวเสร็จเรียบร้อย สิ่งแรกที่ต้องทำเลยนั่นก็คือการทำความสะอาด เป็นหนึ่งวิธีที่ง่ายที่สุดครับ เมื่อเราใช้งานห้องครัวเสร็จแล้ว ต้องรีบเช็ดล้างทำความสะอาด ไม่ปล่อยทิ้งไว้ให้มีคราบหรือเศษขยะที่สะสม โดยจานชามก็ต้องล้างทำความสะอาดในทันทีที่ใช้งานเสร็จด้วย รวมไปถึงเตา เคาน์เตอร์ ต้องเช็ดทำความสะอาดให้เรียบร้อย หากมีคราบน้ำมันกระเด็นอย่าปล่อยไว้นาน ให้ใช้น้ำส้มสายชูผสมกับน้ำยาทำความสะอาด และใช้ผ้าเช็ดคราบน้ำมันออกได้เลย หากดูและเป็นประจำก็จะช่วยลดกลิ่นไม่พึงประสงค์ลงไปได้

อุปกรณ์ที่ช่วยดับกลิ่นได้ดีอีกอย่างหนึ่งนั่นก็คือ “ฮู้ดดูดควัน” เพราะว่าฮู้ดจะช่วยในการดูดกลิ่นไม่พึงประสงค์ ช่วยลดกลิ่นอาหารภายในครัวได้อย่างดี จึงควรเปิดฮู้ดเอาไว้ทุกครั้งระหว่างการทำอาหาร เพื่อช่วยลดกลิ่นจากการทำอาหาร นอกจากนี้หลังจากไม่ได้ใช้งานแล้ว ต้องไม่ลืมทำความสะอาดแผ่นกรองด้วย เท่านี้ก็จะช่วยให้กลิ่นไม่พึงประสงค์นั้นลดลงครับ

“ ทำความสะอาดฮู้ดดูดควันเป็นประจำ ” ฮู้ดดูดควันเป็นอีกหนึ่งอุปกรณ์ในห้องครัวที่เราใช้กันอยู่เป็นประจำ แต่อาจจะไม่ค่อยได้ทำความสะอาดเท่าไหร่นัก ทำให้มีคราบสกปรกหรือคราบมันตกค้างสะสมอยู่ รวมไปถึงคราบน้ำมันด้วย เราต้องคอยถอดออกมาทำความสะอาดให้บ่อยครั้งขึ้น หลังจากทำความสะอาดแล้วก็ให้ผึ่งใบพัดให้แห้งสนิท และนำมาติดตั้งไว้เหมือนเดิม เท่านี้ก็ช่วยให้ฮู้ดดูดควันสะอาดพร้อมใช้อยู่ตลอดเวลา และยังช่วยลดคราบ ลดกลิ่นที่สะสมอยู่ภายในครัวได้ด้วยครับ

อีกหนึ่งตัวช่วยลดกลิ่นภายในครัวนั้นก็คือ การออกแบบห้องครัวให้มีช่องหน้าต่าง เพื่อช่วยระบายอากาศภายในครัวให้ไม่มีกลิ่นเหม็นอับ นอกจากจะช่วยลดกลิ่นแล้ว การที่มีช่องแสงช่องหน้าต่างนั้นยังช่วยทำให้บ้านดูโปร่ง โล่ง สบายตาด้วย

“ ผักสวนครัวช่วยกำจัดกลิ่นไม่พึงประสงค์ ” ใช้หัวหอมเป็นตัวช่วยในการดูดซับกลิ่นอับ กลิ่นอาหารที่ตกค้างภายในครัว โดยทำได้ด้วยวิธีง่ายๆ เพียงผ่าหัวหอมออกเป็นสี่ส่วนและวางไว้ในพื้นที่ห้องครัว เท่านี้ก็จะช่วยบรรเทากลิ่นไม่พึงประสงค์ภายในครัวลงได้แล้วครับ แต่ก็ต้องไม่ลืมทำความสะอาดครัวหลังการใช้งานเสร็จทุกครั้งด้วย เพราะการใช้พืชผักในการดูดซับกลิ่นนั้น เป็นเพียงแค่ตัวช่วยหนึ่งเพียงเท่านั้นครับ

“Biz Galleria” 3 แปลงสุดท้าย ลดสูงสุด 2,000,000 ล้าน*

BIZ GALLERIA นวลจันทร์ – เกษตรนวมินทร์ Office Residence 4 ชั้น ที่เน้นการออกแบบแนวโมเดิร์น พื้นที่ใช้สอย 475 ตารางเมตร ปรับสมดุลชีวิตทำงานและครอบครัวที่ลงตัวด้วยโฮมออฟฟิศ #พื้นที่ใช้สอยใหญ่สุดบนถนนเกษตรนวมินทร์ เพียงพอสำหรับการแบ่งสัดส่วนพื้นที่ทำงานและพื้นที่ส่วนตัวสำหรับอยู่อาศัย ที่ให้พื้นที่มากถึง 475 ตารางเมตร มาพร้อมที่จอดรถ 6 คัน ทำเลทองของคนทำธุรกิจ

BIZ GALLERIA นวลจันทร์ – เกษตรนวมินทร์ | 3 ยูนิตสุดท้าย

รับส่วนลด 2,000,000 ล้าน* | จากราคา 17.39 ล้าน เหลือเพียง 15.39 ล้าน*

? ลงทะเบียนรับส่วนลดพิเศษทันที คลิก ➤ http://bit.ly/2OYGhla 

▪️ใกล้ทางด่วนพิเศษฉลองรัชฯ 5 นาที 

▪️ใกล้ถนนเอกมัย 15 นาที 

▪️ใกล้ Central Festival East ville 10 นาที

สัมผัสความสมบูรณ์แบบของ Office Residence สไตล์ Modern Luxury ออกแบบพื้นที่ให้สูงโปร่ง มีฟังก์ชั่นที่เป็นสัดส่วน บนทำเลติดถนนใหญ่ สะดวกแก่การเดินทางเพื่อมาติดต่อธุรกิจ มีที่จอดรถไว้รองรับถึง 6 คัน ใหญ่สุดบนถนนเกษตร-นวมินทร์

BIZ GALLERIA นวลจันทร์ – เกษตรนวมินทร์ ได้รับแรงบันดาลใจมาจากการผสมผสานการทำงาน และการพักผ่อนให้เข้ากันอย่างลงตัว แบ่งสัดส่วนพื้นที่พักผ่อน และพื้นที่ทำงานแยกกันอย่างชัดเจน ให้ผู้อยู่อาศัยได้มีความสะดวกสบายในการใช้ชีวิต ไม่ต้องเดินทางไปทำงานไกล ช่วยให้มีเวลาได้ใช้ชีวิตและพักผ่อนมากขึ้น

BIZ GALLERIA นวลจันทร์ – เกษตรนวมินทร์ Office Residence 4 ชั้น แบ่งเป็น 

  • Type A พื้นที่ใช้สอย 475 ตารางเมตร หน้ากว้าง 8 เมตร 2 ห้องนอน 5 ห้องน้ำ 6 ที่จอดรถ ที่ดินเริ่มต้น 50 ตารางวา 
  • Type B พื้นที่ใช้สอย 370 ตารางเมตร หน้ากว้าง 6 เมตร 2 ห้องนอน 5 ห้องน้ำ 5 ที่จอดรถ ที่ดินเริ่มต้น 40 ตารางวา

——————————————————————————- 

?สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร. 02-946-1556

รายละเอียด: http://bit.ly/2OYGhla

แผนที่ https://goo.gl/maps/ywUMb8Zwc542

? www.astinestate.com

“ Common Area ” เชื่อมโยงทุกสเปซความอบอุ่นของครอบครัว

Common Area คือหัวใจหลักของบ้านที่ทำหน้าที่ช่วยสร้างปฏิสัมพันธ์ภายในครอบครัว เชื่อมโยงสมาชิกต่างวัยหลากหลายรุ่นให้ได้ใช้เวลาทำกิจกรรมร่วมกัน ด้วยการออกแบบพื้นที่ส่วนกลางเพื่อใช้เป็นจุดศูนย์รวมของคนภายในบ้าน โดยไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นห้องนั่งเล่นเพียงอย่างเดียว วันนี้เราก็มีไอเดียการออกแบบจัดแบ่งสัดส่วนพื้นที่เป็นพื้นที่ส่วนกลาง เพื่อทำกิจกรรมภายในครอบครัวมาฝากกันครับ

ก่อนอื่นเลยเราต้องพูดถึง Common Area กันก่อน โดยส่วนใหญ่แล้วบ้านหลายๆ บ้านนั้น จะแบ่งสัดส่วนพื้นที่ต่างๆ ไว้อย่างชัดเจน ห้องนั่งเล่นคือห้องนั่งเล่นทำกิจกรรมต่างๆ ห้องครัวคือพื้นที่ทำอาหาร ห้องนอนก็ใช้สำหรับพักผ่อน แต่ Common Area นั้นจะลบภาพเหล่านั้นทิ้งออกไป เนื่องจาก Common Area ไม่ได้เจาะจงไปที่พื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งว่าห้องนี้จะทำกิจกรรมได้แค่เท่านี้นะ เช่นห้องครัวไว้ทำอาหาร แต่ห้องครัวก็สามารถปรับเปลี่ยนเป็นพื้นที่ ที่ให้สมาชิกในครอบครัวมีกิจกรรมให้มาทำร่วมกัน เพื่อเพิ่มความสัมพันธ์และความอบอุ่นของครอบครัวได้ ดังนั้นเราจึงได้เห็นไอเดียการเชื่อมโยงพื้นที่ต่างๆ ในบ้านที่เป็นสมัยใหม่มากขึ้น

“ เชื่อมต่อสเปซใช้งานสะดวก ” สำหรับบ้านไหนที่มีพื้นที่ค่อนข้างจะจำกัด หากมีการกั้นผนังเพื่อแบ่งแยกการใช้งาน อาจจะทำให้ขนาดพื้นที่ดูเล็กและแคบลงไปอีก ไอเดียนี้จึงออกแบบพื้นที่ส่วนกลางของบ้านให้ต่อเนื่องโดยไม่มีอะไรกั้น แบ่งแยกการใช้งานได้อย่างเป็นสัดส่วน โดยเชื่อมโยงห้องนั่งเล่น ห้องทานอาหาร พื้นที่ครัว ไว้ด้วยกันในพื้นที่เดียว ทำให้บ้านดูโปร่งโล่งมากขึ้นด้วย พร้อมทั้งเชื่อมต่อกับพื้นที่ด้านข้างบ้าน ซึ่งทำให้พื้นที่ส่วนนี้ดูมีสเปซที่กว้างขวางไม่แออัด และยังสามารถทำกิจกรรมต่างๆ ไปพร้อมกันได้อีกด้วยครับ

“ พื้นที่เตรียมอาหารอันแสนอบอุ่น ” นี่ก็เป็นหนึ่งไอเดียพื้นที่เตรียมอาหาร ที่ไม่จำเป็นต้องถูกจำกัดไว้เพียงแต่เป็นห้องครัวสี่เหลี่ยมปิดทึบเท่านั้น โดยมีการออกแบบพื้นที่ให้ลื่นไหลต่อเนื่องไปกับส่วนใช้งานอื่นๆ ได้ มีเคาน์เตอร์แพนทรี่และเคาน์เตอร์ครัว สำหรับจัดเตรียมหรือทำอาหาร โดยพื้นที่นี้ก็สามารถพาลูกๆ มาทำอาหาร ขนม หรือเมนูต่างๆ ร่วมกันในเวลาว่างได้ เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่ได้สานสัมพันธ์ในครอบครัว และฝึกฝนทักษะให้กับลูกๆ ไว้ติดตัวได้อีกด้วย

“ เชื่อมต่อพื้นที่ Outdoor ” และถ้าหากบ้านไหนมีพื้นที่ด้านข้างบ้านเยอะมากพอ การขยายห้องนั่งเล่นให้เชื่อมต่อกับพื้นที่ลานด้านข้างบ้านก็เป็นอีกหนึ่งไอเดียที่ดีมาก เพราะจะทำให้มีบรรยากาศกึ่งเอาท์ดอร์ที่ครอบครัวสามารถมาทำกิจกรรมร่วมกันได้หลากหลายมากขึ้น เช่น การทำอาหารหรือบาร์บีคิวทานพร้อมกันริมสระว่ายน้ำ ซึ่งก็สามารถปล่อยให้ลูกๆ เล่นน้ำได้อย่างเพลิดเพลิน เพราะอยู่ในการดูแลของพ่อแม่ตลอดเวลา และถ้าหากต้องการความเป็นระเบียบเรียบร้อยมากขึ้น ก็สามารถเลือกใช้อุปกรณ์หรือเฟอร์นิเจอร์ที่สามารถจัดเก็บและเคลื่อนย้ายได้ง่ายมาใช้ จะช่วยเพิ่มความเป็นระเบียบและสะอาดกับพื้นที่ข้างบ้านที่ถูกใช้งานได้ด้วยครับ 

จริงๆ แล้วยังมีไอเดียที่ให้เราสามารถปรับมุมต่างๆ ได้อีกมากมาย แต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ ของแต่ละบ้านด้วย แต่สุดท้ายแล้วถ้ามีพื้นที่ที่เป็น Common Area ไว้ทำกิจกรรมร่วมกันบ้าง ในช่วงเวลาว่างหรือวันหยุด ก็จะเป็นอีกหนึ่งตัวเชื่อมสานสัมพันธ์ในครอบครัวได้ดีมากๆ เลยครับ

ทำความรู้จักกับ “ พื้นไม้ ” ประเภทต่างๆ หนึ่งในวัสดุสำคัญสำหรับการตกแต่งบ้าน

พื้นไม้เป็นวัสดุสำคัญในการใช้ตกแต่งบ้านหรือคอนโด ซึ่งมีให้เลือกใช้มากมายหลายแบบ ตามความต้องการของผู้ใช้แต่ละไลฟ์สไตล์ มีการออกแบบให้มีความสวยงาม และการใช้งานที่แตกต่างกันออกไป ตามลักษณะพื้นที่การใช้งาน ซึ่งพื้นไม้ก็เป็นที่นิยมอยู่มากในปัจจุบัน เนื่องจากให้ความอบอุ่นและผ่อนคลายเวลาเดินอยู่ในบ้านหรือคอนโด วันนี้จะเราไปรู้จักพื้นไม้แต่ละประเภทกัน พร้อมทั้งข้อดี และข้อเสียของพื้นไม้แต่ละประเภทด้วย จะมีประเภทไหนกันบ้าง รับชมกันได้เลยครับ

“ พื้นไม้จริง ” พื้นไม้ที่มีความสวยงาม และให้ความรู้สึกอบอุ่น ผ่อนคลาย โดยส่วนใหญ่แล้วไม้ที่นิยมนำมาทำเป็นไม้ปูพื้น ได้แก่ ไม้สักทอง ไม้ประดู่ ไม้แดง ไม้มะค่า ไม้ตะแบก ไม้ตะเคียน โดยไม้ที่กล่าวมานั้นจะมีราคาค่อนข้างสูง จึงทำให้เราพบเห็นคนนำมาใช้ปูพื้นน้อย แต่ก็มีไม้ที่มีราคารองลงมาอย่างเช่น ไม้เต็ง  ไม้รกฟ้า ซึ่งก็ให้ความรู้สึกและผิวสัมผัสที่ไม่ต่างกัน การเลือกใช้ไม้จริงมาปูพื้นส่วนใหญ่แล้วจะขึ้นอยู่กับความชอบของผู้ใช้ 

ข้อดีของไม้จริง – แข็งแรง คงทน ให้ความรู้สึกผ่อนคลาย อบอุ่น เป็นธรรมชาติ

ข้อเสียของไม้จริง – ราคาสูง วัสดุหายาก มีปัญหาเรื่องปลวก มีความยืด-หดตามสภาพอากาศ ไม่ทนความชื้น

“ พื้นไม้เอ็นจิเนียร์ ” หนึ่งในประเภทของไม้ที่นิยมใช้กันในปัจจุบัน ตัวพื้นไม้เอ็นจิเนียร์จะเป็นการผสมผสานกันระหว่างไม้จริงกับวัสดุสังเคราะห์อื่นๆ โดยใช้พื้นไม้จริงปิดทับไม้เนื้อแข็ง อัดสลับกับเสี้ยนไม้ ปิดทับด้วยยูวีอะคริลิคแลคเกอร์ในการเคลือบหน้าผิว เพื่อให้มีความสวยงามและทนทานต่อแรงขีดข่วน

ข้อดีของเอ็นจิเนียร์ – มีหลายรูปแบบให้เลือกใช้งาน ผิวสัมผัสเสมือนไม้จริง แข็งแรงคงทน ราคาตามเกรดวัสดุ

ข้อเสียของไม้เอ็นจิเนียร์ – ไม่สามารถนำกลับมาขัดหน้าแผ่นไม้ใหม่ได้

“ พื้นไม้ลามิเนต ” อีกหนึ่งพื้นไม้สังเคราะห์ที่ทำขึ้นมาเพื่อทดแทนไม้จริง โดยมีพื้นผิวสัมผัสที่ให้ความรู้สึกเสมือนไม้จริงแต่ราคาจับต้องได้มากกว่า โดยพื้นไม้ลามิเนตประกอบไปด้วย Wear Layer ผิวชั้นบนสุด ทำหน้าที่เคลือบชั้นผิวของพื้นไม้ให้มีความคงทน ป้องกันรอยขีดข่วน Pattern Layer ชั้นลวดลาย เป็นแผ่นวัสดุพิมพ์ลายเลียนแบบสีและลวดลายของไม้ชนิดต่างๆ Substrate Later ชั้นแกนหลัก เป็นวัตถุสังเคราะห์ทดแทนเนื้อไม้จริง มีเส้นใยสังเคราะห์ เศษไม้ กาว เป็นส่วนประกอบ Backing Layer ชั้นแผ่นรองพื้นเป็นชิ้นส่วนประกอบล่างสุด ทำหน้าในการป้องกันความชื้นให้กับเนื้อไม้ในการปูพื้น

ข้อดีของไม้ลามิเนต – ผิวสัมผัสเสมือนไม้จริง ราคาถูก ค่าบำรุงรักษาน้อย ทนปลวกและความชื้น

ข้อเสียของไม้ลามิเนต – หากปูพื้นได้ไม่ดีและพื้นไม้ไม่สม่ำเสมอ จะเกิดการพองตัว หรือชำรุดได้ง่ายเมื่อเจอความเปียกชื้น

“ พื้นไม้ปาร์เกต์ ” พื้นไม้จริงที่มีขนาดเล็ก เป็นไม้ที่เหลือจากการตัดไม้เป็นชิ้นมาเรียงประกอบกัน โดยผ่านการอบไสเรียบสี่หน้า การอบต้องอบด้วยอุณหภูมิมาตรฐานของพื้นไม้ เพื่อให้เกิดความทนทานต่อการยืดและหดตัว โดยไม้ที่นิยมนำมาใช้ผลิตได้แก่ ไม้สัก ไม้มะค่า ไม้ตะแบก ไม้ประดู่ ไม้แดง ไม้เต็ง ไม้บีช เป็นต้น

ข้อดีของไม้ปาร์เกต์ – เลือกลวดลายได้ตามต้องการ ให้ผิวสัมผัสอบอุ่น สวยงาม

ข้อเสียของไม้ปาร์เกต์ – ไม่สามารถปูทับพื้นหินหรือพื้นกระเบื้องได้

“ พื้นไม้ไวนิลหรือพื้นไม้ยาง ” พื้นไม้สังเคราะห์ที่มีน้ำหนักเบาที่สุด นิยมนำมาเลือกใช้ปูกับพื้นคอนโดมิเนียม เนื่องจากสามารถปูพื้นได้ง่าย ใช้เวลาปูพื้นน้อย และมีให้เลือกหลายรูปแบบ ราคาไม่แพง โดยตัวเนื้อไม้ไวนิลจะประกอบด้วย วัสดุฟิล์มเคลือบผิวหน้า ชั้นป้องกันรอยกดทับ แผ่นพิมพ์ลวดลายไม้ แผ่นปิดหลังปัองกันความชื้น 

ข้อดีของไม้ไวนิลหรือพื้นไม้ยาง – ราคาถูก หาซื้อได้ง่าย มีลวดลายให้เลือกมากมาย ปูพื้นได้ง่ายและใช้เวลาน้อย ทนแรงขีดข่วนและปลวก สามารถปูทับพื้นกระเบื้องเดิมได้โดยไม่ต้องรื้อถอน

ข้อเสียของไม้ไวนิลหรือพื้นไม้ยาง – ผิวสัมผัสมีความแข็งกระด้างหากเดินด้วยเท้าเปล่า ไม่ทนต่อความชื้น เกิดเชื้อราได้ง่าย

รวมวิธีกำจัด “ฝุ่นละอองภายในบ้าน” หายใจสะดวก ปลอดภัยทั้งครอบครัว

รวมวิธีกำจัด “ฝุ่นละอองภายในบ้าน” หายใจสะดวก ปลอดภัยทั้งครอบครัว ?

ปัญหาของฝุ่นละอองภายในบ้าน เป็นหนึ่งในปัญหาที่สามารถพบเจอกันได้ในทุกบ้าน มากหรือน้อยแตกต่างกันออกไปตามสภาพแวดล้อม ซึ่งฝุ่นละอองเป็นอันตรายกับคนเรามากกว่าที่คิด เพราะสามารถส่งผลกระทบต่อระบบทางเดินหายใจ และเข้าสู่อวัยวะอย่างอื่นๆ ภายในร่างกายได้ ดังนั้นเพื่อลดปริมาณเชื้อโรคที่เจือปนมากับฝุ่นละออง เราสามารถจัดการปัญหาของฝุ่นละอองภายในบ้าน ให้ลดน้อยลงได้หลากหลายวิธี วันนี้เราจะมาแบ่งปันวิธีการขจัดปัญหาฝุ่นละอองภายในบ้านให้หมดไป เพื่อเพิ่มอากาศบริสุทธิ์หมุนเวียนภายในบ้าน หายใจสะดวกสบาย ปลอดภัยจากเชื้อโรคต่างๆ ทั้งครอบครัว 

“ เครื่องฟอกอากาศ ” เป็นหนึ่งในเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ควรมีติดบ้านไว้ในปัจจุบัน โดยมีราคาที่ไม่แพงสามารถจับต้องได้ อีกทั้งยังมีการออกแบบดีไซน์ให้ดูโมเดิร์นด้วย  ซึ่งเครื่องฟอกอากาศก็จะช่วยฟอกอากาศเสียและดักจับฝุ่นรอบทิศทาง ช่วยให้อากาศที่หมุนเวียนอยู่ภายในบ้านนั้นสะอาดบริสุทธิ์ ปลอดภัยจากแบคทีเรียและเชื้อโรคต่างๆ โดยการเลือกเครื่องฟอกอากาศนั้นควรเลือกให้เหมาะพื้นที่หรือขนาดของห้อง เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพการทำงานอย่างเต็มที่.

“ กวาด-ถู พื้นบ้านเป็นประจำ ” โดยการกวาดและถูพื้นบ้านเป็นประจำนั้น จะช่วยลดบริมาณของฝุ่นที่จับตัวกันได้มาก ฝุ่นส่วนใหญ่จะจับตัวกันตามซอกตามมุมต่างๆ หากกวาดบริเวณที่มีฝุ่นเยอะบ่อยๆ เทฝุ่นในถังขยะทิ้ง จะช่วยลดการสะสมของฝุ่นได้ดี หลังจากกวาดพื้นเสร็จแล้ว ให้ใช้ไม้ถูพื้นชุบน้ำหมาดๆ ทำความสะอาดพื้น จะช่วยกำจัดฝุ่นที่หลงเหลือจากตอนกวาดพื้น ถ้าหากเราปล่อยฝุ่นไว้นานจะขจัดฝุ่นออกยากมากขึ้น

“ ทำความสะอาดบนโต๊ะ ตู้ ชั้นวาง ” เป็นอีกจุดที่ฝุ่นชอบจับตัวกันนั่นก็คือ โต๊ะ ตู้ ชั้นวาง การทำความสะอาดบนโต้ะ ตู้ ฃั้นวาง นั้นสามารถทำด้วยวิธีง่ายๆ โดยเช็ดหรือปัดฝุ่นด้วยผ้าชุบน้ำหรือใช้ไม้ขนไก่ เพื่อกำจัดฝุ่นตามจุดต่างๆ หรือซอกมุมที่ฝุ่นจับ โดยทำเป็นประจำอยู่บ่อยๆ เพราะฝุ่นนั้นสามารถจับตัวกับสิ่งของเหล่านี้ได้ตลอดเวลา ควรหมั่นทำความสะอาดในทุกพื้นที่ เพื่อลดปริมาณของฝุ่นละอองนั่นเอง

“ เก็บผ้าที่ไม่ได้ใช้ ” เก็บผ้าที่ไม่ได้ใช้ไว้ในภาชนะพลาสติกหรือในตู้เสื้อผ้าให้มิดชิด รวมไปถึงเสื้อผ้าต่างๆ ควรเก็บใส่ตู้เอาไว้ เพื่อป้องกันไม่ให้ฝุ่นจับตัวกับเสื้อผ้า เพราะผ้าเป็นแหล่งที่ฝุ่นจะเกาะได้อย่างดี ดังนั้นยิ่งนำเสื้อผ้าเก็บไว้ในที่ที่มีฝุ่นน้อยเท่าไหร่ยิ่งดี และควรรักษาความสะอาดตู้เสื้อผ้าเสมอ และไม่ควรปล่อยให้ตู้เสื้อผ้ารก ซึ่งจะทำให้ฝุ่นขึ้นได้ง่าย

“ เปลี่ยนผ้าปูที่นอนสัปดาห์ละครั้ง ” เพื่อช่วยลดฝุ่นละอองในบ้าน โดยการนำผ้าปูที่นอนมาซักบ่อยๆ รวมไปถึงผ้าห่ม ผ้าคลุมเตียงและหมอน ซึ่งผ้าเหล่านี้เป็นที่สะสมฝุ่น บ่อยครั้งที่เวลานอนหลับและหายใจสูดฝุ่นละอองเข้าไป จะทำให้เกิดอาการคัดจมูกตอนตื่นนอน เพราะเราหายใจเอาอากาศที่มีฝุ่นเข้าไปตลอดคืน วิธีแก้ปัญหาเหล่านี้ก็คือเปลี่ยนผ้าปูที่นอนและนำมาซัก โดยเฉพาะกับครอบครัวที่นำสัตว์เลี้ยงมานอนด้วย ก็ควรที่จะต้องดูแลให้ดีมากยิ่งขึ้น 

“ ลดจำนวนของตกแต่งภายในบ้าน ” การตกแต่งบ้านให้สวยงามตามสไตล์ของผู้อยู่อาศัยนั้นเป็นสิ่งที่ดี แต่สิ่งของต่างๆ ที่นำมาตกแต่งนั้นก็ทำให้มีฝุ่นเยอะขึ้นเช่นกัน ถ้าตามพื้นที่ต่างๆ ชั้นวาง โต๊ะ ภายในบ้านมีแต่ของตกแต่งที่ถูกวางไว้เฉยๆ อยู่เต็มไปหมด และไม่ได้มีการเช็ดหรือปัดฝุ่นเพื่อทำความสะอาดเลย ก็คงจะทำให้มีแต่ฝุ่นจับตัวกันมากขึ้น ทำความสะอาดยากและลดฝุ่นยากขึ้นไปอีก เพราะฉะนั้นเราจึงต้องเก็บกวาดของที่ไม่จำเป็น เพื่อเพิ่มพื้นที่ให้บ้านโปร่งโล่ง และทำความสะอาดง่ายขึ้น

“ เครื่องดูดฝุ่นที่มีประสิทธิภาพ ” เครื่องดูดฝุ่นฝนปัจจุบันนั้นมีให้เลือกอย่างมากมาย แต่ต้องดูให้แน่ใจว่าที่เราใช้กันอยู่นั้น เป็นเครื่องดูดฝุ่นที่มีประสิทธิภาพในการกำจัดฝุ่นจริง เพราะเครื่องดูดฝุ่นไม่เพียงแค่ต้องการพลังดูดที่ดีเท่านั้น ตัวเครื่องจะต้องมีแปรงแรงสูงที่จะทำให้กำจัดฝุ่นที่สะสมอยู่ในพรมได้ ซึ่งแปรงชนิดนี้จะช่วยดักจับฝุ่นได้ดีขึ้นด้วย โดยจะดูดฝุ่นพื้นบริเวณอื่นที่ไม่ใช่พื้นพรมก็ได้ การที่ดูดฝุ่นบ่อยๆ จะช่วยลดฝุ่นที่จับตัวกับเฟอร์นิเจอร์และมุมต่างๆ ได้ และควรเปลี่ยนแผ่นกรองในเครื่องดูดฝุ่นบ่อยๆ จะช่วยทำให้เครื่องดูดฝุ่นอยู่ในสภภาพดีพร้อมใช้งาน

“ ธรรมชาติบำบัด ” พูดถึงภายในกันมาหมดแล้ว มาพูดถึงการช่วยลดฝุ่นจากภายนอกตัวบ้านกันบ้าง เพราะการปลูกต้นไม้ในพื้นที่รอบบ้านนั้น จะช่วยกรองฝุ่นละอองได้ดี โดยเฉพาะบ้านที่มีบริเวณกว้างๆ มีต้นไม้ใหญ่ แต่ถ้าหากจะต้องเลือกพันธุ์ไม้มาปลูก ก็ควรศึกษาและเลือกลักษณะใบที่สามารถกันฝุ่นได้ จะช่วยลดปริมาณฝุ่นเข้าสู่ตัวบ้านได้ดีขึ้น และยังช่วยทำให้บริเวณบ้านมีบรรยากาศเย็นสบาย ร่มรื่นขึ้นด้วยครับ

เสน่ห์เรียบง่ายกับการแต่งบ้าน Minimal Cozy Style สะท้อนไลฟ์สไตล์เฉพาะตัว

ในปัจจุบันผู้คนใช้เวลาอยู่บ้านกันมากขึ้น จึงใช้เวลาว่างหันมาตกแต่งบ้านให้น่าอยู่ ปรับเปลี่ยนมุมต่างๆ ตามสไตล์ที่ตัวเองชอบ และสไตล์ที่เราเริ่มพบเห็นไอเดียกันบ่อยๆ ในช่วงหลังมานี้นั้น ก็คือ Minimal การตกแต่งที่เรียบง่าย ที่ทำให้บ้านดูโปร่งโล่งสบายตา โทนสีที่จะเน้นไปทางโมโนโทน และอีกหนึ่งสไตล์ก็คือ Cozy ที่เน้นใช้วัสดุที่ทำจากธรรมชาติมาตกแต่งบ้าน เช่น พื้น ผนัง รวมไปถึงเฟอร์นิเจอร์ต่างๆ ด้วย ซึ่งเราจะเห็นผู้คนนำทั้ง 2 สไตล์นี้มาผสมผสานกันในการแต่งบ้าน จนเกิดเป็นอีกหนึ่งสไตล์ขึ้นมา ก็คือ Minimal Cozy Style วันนี้เราจะมาดูกันครับว่า  Minimal Cozy Style จะเป็นอย่างไร และน่าสนใจยังไงครับ

Minimal คือสไตล์การตกแต่งที่อยู่อาศัยที่เรียบง่าย ใช้เฟอร์นิเจอร์ในการตกแต่งน้อยชิ้น แต่ต้องแฝงด้วยประโยชน์ใช้สอย ตอบสนองการใช้งานได้อย่างครบครัน ดีไซน์เรียบทั้งรูปทรง สี ไม่เน้นลวดลายมากนัก มีเส้นสายตาที่ตรง การจัดวางต่างๆ จะมีความเป็นระเบียบเรียบร้อย เอกลักษณ์ในการตกแต่งสไตล์นี้คือ มีความสมดุลและความผ่อนคลาย โทนสีแบบโมโนโทน เช่น สีขาว สีเทาอ่อน สีเทาเข้ม และยังเน้นการจัดสเปซให้มีความโปร่งโล่งและดูกว้างขวาง แบ่งเป็นพื้นที่ 60% ของตกแต่ง 40% ทำให้สไตล์นี้ได้รับความนิยมมากเป็นพิเศษในหมู่คนรุ่นใหม่ ที่ชอบบ้านที่ดูมีความสงบ ดูสบายตา สะอาด และมีพื้นที่ว่างเยอะ

สไตล์ Cozy คือ การผสมผสานธรรมชาติ และอารมณ์ความรู้สึกของผู้อยู่อาศัย มาถ่ายทอดในการตกแต่งบ้าน เช่น การปูพื้น โทนสี ของตกแต่ง เครื่องเรือนรวมทั้งเฟอร์นิเจอร์ ซึ่งโทนสีที่นิยมนำมาใช้คือเฉดสีที่สื่อถึงความเป็นธรรมชาติ อย่างเช่น กลุ่มสีเอิร์ธโทน โดยภาพรวมเป็นการตกแต่งภายใน เน้นความโล่งและเปิดรับแสงในทุกด้าน อีกหนึ่งสิ่งที่ดีและห้ามพลาดในการตกแต่งบ้านในสไตล์ Cozy คือ เฟอร์นิเจอร์จากวัสดุธรรมชาติ โดยเฉพาะวัสดุตระกูลไม้ ไม่ว่าจะเป็น ไม้จริงหรือไม้สังเคราะห์ มี Mood&Tone ของความเป็นธรรมชาติ ทั้งพื้น เพดาน ผนัง รวมทั้งเฟอรนิเจอร์ต่างๆ มักจะมีงานไม้เป็นหลัก และมีวัสดุทดแทนอื่นๆ เช่น งานหินอ่อน ปูนเปลือยสีโทนอ่อน ไม้คอร์ก ไม้เทียม ที่นำมาทดแทนงานไม้จริงได้ จุดเด่นของวัสดุกลุ่มนี้นั้น นอกจากมีความสวยงามและการสร้างความรู้สึกที่ดีแล้ว ยังมีความแข็งแรง ทนทาน เหมาะสำหรับทุกการใช้งาน ซึ่งพอดูภาพรวมของการตกแต่งบ้านสไตล์นี้นั้น จะให้ความรู้สึกที่อบอุ่น เบาสบาย และสร้างความผ่อนคลาย ทำให้เกิดความสงบสุขเมื่อก้าวเข้าบ้าน จึงทำให้การแต่งบ้านสไตล์ Cozy เป็นอีกหนึ่งสไตล์ยอดฮิตและตอบโจทย์การใช้พื้นที่ให้กับคนยุคนี้ได้เป็นอย่างดี

สไตล์ Minimal & Cozy คือการนำเอาความเรียบง่ายของสไตล์ Minimal มาผสมผสานกับการตกแต่งที่มีความอบอุ่นในแบบ Cozy เป็นการนำเอาการตกแต่ง การเลือกใช้วัสดุ เฟอร์นิเจอร์ โทนสี และการออกแบบของทั้ง 2 สไตล์ มาผสมผสานเข้าด้วยกัน เพื่อให้เกิดการตกแต่งบ้านรูปแบบใหม่ โดยภาพที่คุ้นเคยของสไตล์นี้ที่เห็นกันทั่วไปก็คือ สไตล์การตกแต่งบ้านของประเทศญี่ปุ่น ที่มีความเรียบง่าย ดูโปร่งโล่งสบายตา 

โดยสิ่งที่บ่งบอกถึงความเป็น Minimal & Cozy มีอยู่หลากหลายอย่างด้วยกัน แต่จุดที่เด่นเลยก็คือการตกแต่งโดยรวม ต้องออกมาในรูปแบบที่มีความเรียบง่าย จับเอาเฟอร์นิเจอร์หรือของตกแต่งไปวางตรงไหนก็ทำให้ห้องดูสบายตา ไม่โดดออกมาจากภาพรวมมากเกินไป มีความลงตัว ลดความยุ่งเหยิงของสิ่งของหรือลวดลาย คุมภาพรวมด้วยวัสดุสีไม้ ช่วยดึงความรู้สึกอบอุ่นของการแต่งบ้านสไตล์ Minimal & Cozy ออกมาได้อย่างสมบูรณ์

อย่างที่ได้บอกไปข้างต้นว่าการแต่งบ้านสไตล์นี้ จะเป็นการตกแต่งด้วยดีไซน์ที่เรียบ ไม่เน้นการใช้ลวดลาย จริงๆ แล้วการออกแบบสไตล์ Minimal & Cozy ก็มีแฝงการใช้ลวดลายลงไปด้วยเหมือนกัน โดยลวดลายที่พูดถึงคือการออกแบบผนังด้วยระแนงไม้ ซึ่งระแนงไม้สามารถดัดแปลงให้ใช้งานได้หลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบระแนงไม้เป็นฉากกั้นสัดส่วนของห้องต่างๆ ออกแบบให้เป็นประตูปิดชั้นวางของหรือตู้เสื้อผ้า ซึ่งจะช่วยให้บ้านมีความเป็นระเบียบเรียบร้อยมากขึ้นด้วย

อีกหนึ่งส่วนสำคัญของบ้านสไตล์ Minimal & Cozy ก็คือพื้นบ้าน ซึ่งก็มีพื้นบ้านให้เลือกใช้อยู่หลายแบบ เช่น พื้นไม้จริง พื้นลามิเนต แผ่นไม้คอร์ก เป็นต้น ซึ่งแต่ละแบบนั้นก็มีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันออกไป ซึ่งการเลือกใช้ก็ต้องเลือกให้เหมาะสมกับบ้านด้วย

พื้นไม้จริง ทำมาจากวัสดุธรรมชาติ ซึ่งเป็นสิ่งหนึ่งที่คนไทยนิยมใช้กัน เพราะในอดีตเป็นวัสดุที่หาได้ง่าย ปลูกทดแทนได้ โดยไม้ที่นิยมนำมาใช้ทำพื้นจะเป็นไม้เนื้อแข็ง เช่น ไม้เต็ง ไม้แดง ไม้มะค่า ไม้สัก เป็นต้น สามารถนำมาใช้ได้เป็นวัสดุในการสร้างบ้านได้ทั้งหลัง แต่ปัจจุบันบ้านเกือบทั้งหมดถูกสร้างด้วยปูน บ้านไม้จะพบเห็นได้ตามต่างจังหวัดได้เป็นส่วนใหญ่ แต่ไม้ยังถูกนำมาเป็นวัสดุสำหรับตกแต่งบ้านอยู่ ซึ่งก็เพราะเนื้อไม้นั้นจะให้ผิวสัมผัสที่สบายเท้า สีสันอบอุ่น แต่ปัจจุบันนี้ไม้เริ่มหายากขึ้น จึงทำให้มีราคาที่สูง ซึ่งบ้านที่จะนำไม้จริงมาใช้ตกแต่งก็อาจจะมีต้นทุนที่สูงมากขึ้น บ้านทั่วไปจึงนิยมใช้วัสดุทดแทนไม้จริงแทน

พื้นไม้ลามิเนต เป็นพื้นไม้ที่ถูกผลิตขึ้นด้วยวิธีทางวิทยาศาสตร์ มีไม้เป็นส่วนประกอบแค่บางส่วน ปัจจุบันพื้นประเภทนี้กำลังเป็นที่นิยมมากขึ้น เพราะมีความทนทานและยังสวยงามเหมือนไม้จริง นำมาติดตั้งง่าย มีล๊อกที่เชื่อมต่อระหว่างแผ่นไม้ มีความหนาอยู่หลากหลายขนาด แต่ที่นิยมใช้จะมีความหนาตั้งแต่ 6 -12 มิลลิเมตร อีกหนึ่งเหตุผลที่คนนิยมนำมาใช้ก็เพราะว่าอายุการใช้งาน โดยเกรดธรรมดาจะมีอายุการใช้งานเฉลี่ย 10-15 ปี และเกรดพรีเมี่ยมมีอายุการใช้งานเฉลี่ยมากกว่า 15 ปี ขึ้นไป

แผ่นไม้คอร์ก นับเป็นหนึ่งในวัสดุรักษ์โลก โดยการผลิตนั้นจะใช้วิธีการลอกเปลือกของต้นไม้ชั้นนอกออก นำมาผลิตเป็นแผ่นไม้คอร์กสำเร็จรูป ต้นไม้ที่ถูกลอกเปลือกนั้นจะไม่ตายและมีการเจริญเติบโตต่อไป เมื่อระยะเวลาผ่านไปก็สามารถลอกเปลือกออกมาใช้งานได้อีก คุณสมบัติที่โดดเด่นคือเป็นวัสดุดูดซับเสียงได้ดี สามารถใช้ทำเป็นผนังห้องซ้อมดนตรี หรือห้องนอนได้ ผิวสัมผัสสวยงามและมีกลิ่นอายของสไตล์ลอฟท์ปะปนอยู่ด้วย

และทั้งหมดนี้ก็คือการตกแต่งบ้านสไตล์ Minimal & Cozy ที่ช่วยเพิ่มเสน่ห์ และสะท้อนไลฟ์สไตล์เฉพาะตัวของผู้อยู่อาศัยได้อย่างแท้จริง ซึ่งเป็นสไตล์การแต่งบ้านที่ยังคงนิยมอยู่มากในปัจจุบัน ด้วยดีไซน์ที่เรียบง่ายและทำให้บ้านดูโปร่งโล่งสบายตา มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ตอบโจทย์คนในยุคสมัยปัจบันได้เป็นอย่างดี